นมดีอยู่ที่แม่ นมผงแค่คล้ายนมแม่
โดยธรรมชาติ เมื่อลูกอยู่ในครรภ์จะได้รับสารอาหารจากแม่ทางสายรก ในระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงของเต้านมที่ขยายใหญ่ขึ้น และหลังคลอดประมาณ 3-4 วัน น้ำนมจะเริ่มหลั่ง น้ำนมที่หลั่งครั้งแรกจะมีลักษณะเป็นน้ำสีเหลืองๆ เรียกว่า โคลอสตัม ซึ่งประกอบด้วยแร่ธาตุอาหารต่างๆ รวมทั้งภูมิคุ้มกันของแม่ที่จะถ่ายทอดสู่ลูก น้ำนมนี้มีภูมิต้านทานเชื้อโรคต่างๆหลายชนิดรวมทั้งเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ดีอีกด้วย น้ำนมเหลืองจะมีอยู่ประมาณ 5 วันก็จะขุ่นขาวกลายเป็นน้ำนมปกติ
ประโยชน์ของนมแม่
1.นมแม่มีสารอาหารครบถ้วนและพอเหมาะ นมแม่มีสารอาหารต่างๆครบถ้วนแก่ความต้องการของเด็กอ่อนจนถึงอายุ 6 เดือน ปริมาณสารอาหารที่มีอยู่ไม่ทำให้ไตและตับของเด็กต้องทำงานหนัก
2.นมแม่สะดวก คือไม่ต้องเสียเวลาชง เด็กกินนมได้ทันที เพราะอุณห
ภูมิของนมแม่เหมาะสม อยู่แล้ว
3.นมแม่สะอาดและปลอดภัย อันตรายของการใช้นมผสมคือ ถ้าผสมผิดสัดส่วนจะทำให้เด็กเกิดภาวะทุพโภชนาการได้ และถ้าการจัดเตรียมนมไม่สะอาดพอเด็กอาจเกิดโรคอุจจาระร่วงได้ ส่วนนมแม่นั้นสะอาดและปลอดภัยเสมอ
4.นมแม่มีสารป้องกันการติดเชื้อ ในนมแม่มีสารหลายชนิดซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันโรคติดเชื้อแก่เด็กได้
5.นมแม่ลดอัตราการเกิดโรคทางภูมิแพ้ เด็กที่เลี้ยงด้วยนมวัว อาจมีปัญหาโรคภูมิแพ้ได้งาย อาการที่พบคือ ท้องเสีย อาเจียน ปวดท้อง ลมพิษ และหอบหืด ในทางตรงกันข้ามเด็กที่กินนมแม่มักไม่มีปัญหาการเกิดโรคภูมิแพ้
6.นมแม่ไม่ทำให้ลูกอ้วน นมแม่มีปริมาณที่พอเหมาะกับเด็กอ่อน เมื่อเด็กอิ่มแล้วจะหยุดดูดนม แต่ถ้าเลี้ยงลูกด้วยนมวัว แม่มักให้เด็กดูดจนหมดขวดเสมอ ทั้งๆที่เด็กอิ่มแล้วเป็นสาเหตุให้เด็กเป็นโรคอ้วนได้
7.นมแม่มีผลดีต่อจิตใจ การให้นมแม่สร้างความอบอุ่นทั้งร่างกายและจิตใจแก่แม่และลูก เด็กจะมีความสุขจากการดูดนมแม่มากกว่าดูดนมขวด ทำให้มีผลดีต่อสุขภาพจิตและพัฒนาการของเด็ก
8.นมแม่มีผลดีต่อแม่ นอกจากมีผลดีต่อจิตใจแล้ว การให้นมแม่ยังมีประโยชน์ในด้านทำให้มีลูกห่าง ซึ่งเป็นการคุมกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติอย่างหนึ่ง ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว และทำให้แม่ไม่เป็นโรคอ้วน เพราะแม่ใช้ไขมันที่เก็บสะสมไว้ระหว่างตั้งครรภ์มาสร้างน้ำนม และมีอัตราการเป็นมะเร็งเต้านมลดลงด้วย
ปัญหาที่พบในการให้นมแม่
1. หัวนมบอดหรือสั้น เป็นอุปสรรคต่อการให้นมลูกเพราะเด็กดูดไม่ได้ หัวนมคว่ำอยู่ข้างใน วิธีแก้ไข ควรเตรียมตัวตั้งแต่ตั้งครรภ์ โดยพยายามบีบหัวนมและดึงหัวนมทุกๆวัน เวลาอาบน้ำ ถ้าคลอดแล้วหัวนมยังบอดอยู่ ควรใช้หัวนมเทียมครอบบนหัวนมแม่ไว้ก่อนใส่เสื้อชั้นใน จะช่วยให้หัวนมโผล่ขึ้นมาได้
2. หัวนมแตกและเจ็บ สาเหตุเนื่องมาจากการที่คุณแม่อุ้มลูกดูดนมในท่าที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ลูกคาบหัวนมตื้นๆ ถ้ามีอาการเจ็บตลอดเวลาให้นมลูกแสดงว่า หัวนมเริ่มอักเสบหรือแตก ซึ่งอาจเกิดจากเด็กกัดและเคี้ยวหัวนมแทนที่จะงับหรืออมบริเวณลานรอบหัวนม การรักษาคือให้งดนมแม่ เป็นเวลา 1-2 วัน โดยอาจใช้วิธีบีบน้ำนมใส่ขวดให้ลูกดูดแทน แล้วใช้ยาประเภทขี้ผึ้งทารอบๆ หัวนม เมื่อหัวนมหายดีแล้วก็เริ่มให้นมเด็กในช่วงสั้นๆ ประมาณครั้งละ 3 นาที หลังจากนั้นจึงเพิ่มเวลาให้นานขึ้นในวันต่อๆมา หรือหลังจากให้นมลูกเสร็จแล้วก็ควรเช็ดทำความสะอาดด้วยสำลีชุบน้ำสะอาดแล้วทาด้วยลาโนลินครีม เพื่อช่วยให้หัวนมอ่อนนุ่มลงและหัวนมหายแตกเร็วขึ้น
3. เต้านมคัดหรือบวม ในช่วงที่น้ำนมเริ่มไหลในระยะแรกๆ เต้านมจะคัดตึงจนบางครั้งมีอาการปวดเต้านมได้ เวลาคลำเต้านมจะรู้สึกแข็ง อึดอัดไม่สบาย บางรายก็เจ็บปวดรุนแรง ซึ่งเกิดจากการคั่งของน้ำนม วิธีแก้ไข คือเมื่อคุณแม่มีอาการเต้านมคัดให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น ประคบโดยรอบเต้านมพร้อมกับนวดเบาๆทั่วทั้งเต้า จากนั้นให้บีบเอาน้ำนมออกบ้าง ถ้าลูกดูดแล้วยังคงมีอาการบวมและคัดนมอยู่ ก็ควรจะนวดเต้านมจากบริเวณรอบนอกเข้ามาส่วนกลาง กดบีบที่บริเวณลานหัวนมน้ำนมก็จะพุ่งออกมาบริเวณหัวนม ขณะบีบที่ตัวหัวนมควรระมัดระวังเพราะอาจทำให้หัวนมแตกได้ง่าย
4. หัวนมตัน เพราะมีก้อนไขมันเล็กๆอุดอยู่ ทำให้น้ำนมไหลไม่สะดวก วิธีแก้ไข ให้เอาสำลีชุบน้ำอุ่นๆเช็ดบริเวณหัวนม เม็ดขาวๆเหลืองๆที่อุดอยู่จะหลุดออกมา น้ำนมก็จะไหลดีขึ้น
5. น้ำนมไม่พอ มักพบใน 1-2 วันแรกหลังคลอด สาเหตุที่น้ำนมมีน้อย เนื่องจากลูกไม่ได้ดูดนมหลังคลอดทันที คุณแม่ไม่ได้ให้ลูกดูดนมบ่อยๆและสม่ำเสมอ หรือให้ลูกดูดไม่ถูกต้อง
วิธีแก้ไข คือคุณแม่ควรให้ลูกดูดนมหลังคลอดทันทีและให้ลูกดูดนมบ่อยๆอย่างน้อยวันละ 9 ครั้งและควรให้ลูกดูดทั้งสองเต้าในท่าที่ถูกต้อง
6. คุณแม่ที่ต้องทำงาน ควรให้ลูกดูดนมแม่เวลาอยู่บ้านและในวันหยุด ควรให้ลูกกินนมแม่ทุกวันโดยบีบน้ำนมใส่ภาชนะที่สะอาดมีฝาปิด เมื่อจะให้ลูกกินก็ให้เอาขวดนมอุ่นในน้ำอุ่นก่อน ไว้ป้อนลูกระหว่างไปทำงาน ในช่วงกลางวันที่คุณแม่ไม่อยู่หลายชั่วโมงอาจให้นมผสมเสริมได้ วิธีบีบน้ำนม คุณแม่ควรล้างมือให้สะอาด วางนิ้วหัวแม่มือบนขอบลานหัวนม นิ้วที่เหลืออยู่ใต้ลานหัวนม กดนิ้วชี้และหัวแม่มือเข้าหาอกแม่ แล้วบีบนิ้วเข้าหากัน น้ำนมแม่จะพุ่งออก คลายนิ้วแล้วทำซ้ำจนน้ำนมหมอแล้วจึงเปลี่ยนบีบไปรอบๆเต้านม โดยเก็บได้นาน 6-8 ชั่วโมงในอุณหภูมิห้องและถ้าแช่ไว้ในตู้เย็นจะเก็บได้นาน 2 วัน
เคล็ดลับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
-เพื่อให้เด็กแรกเกิดพัฒนาการและการเจริญเติบโตได้เต็มที่ ควรนำลูกมาอยู่กับแม่(Rooming-in) และเริ่มหัดดูดนมแม่เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ดังนั้น การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ประสบผลสำเร็จ ต้องมี 3 ดูดได้แก่
1. การดูดเร็ว หมายถึง การนำลูกมาดูดนมแม่ในช่วงหลังคลอดเร็วที่สุด ควรให้ดูดทันทีหรือภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด เพราะเป็นเวลาที่เด็กจะตื่นตัวพร้อมที่รับการติดต่อจากแม่และหัดดูดนมแม่ได้ดีที่สุด
2. การดูดบ่อย หมายถึง การที่แม่ให้ลูกดูดนมบ่อยครั้ง ซึ่งจะกระตุ้นให้ฮอร์โมนโปรแล็คติน ออกมาในเลือดมาก ฮอร์โมนนี้จะกระตุ้นเซลล์ขับน้ำนมในต่อมให้สร้างน้ำนม จึงทำให้แม่สร้างและหลั่งน้ำนมมากขึ้น ทำให้ลูกได้นมเร็วและเพียงพอ ใน 2-3 วันแรกควรให้ดูดทุก 2 ชั่วโมงหรือวันละ 10-12 ครั้ง อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่าวันละ 8 ครั้ง ทั้งการดูดเร็วและดูดบ่อยจะกระตุ้นให้นมแม่มาเร็วและมามากและทำให้ลูกตัวเหลืองน้อยลงด้วย
3. การดูดได้ถูกต้อง ในขั้นแรกต้องให้แม่นอนหรือนั่งตัวตรงในท่าที่สบายที่สุด อุ้มลูกโดยใช้เบาะหรือหมอนรองใต้มือแม่เพื่อให้ปากลูกอยู่ในระดับเดียวกับหัวนมแม่ อุ้มให้ตัวลูกตะแคงเล็กน้อย ให้ลำตัวและก้นทอดลงต่ำกว่าศีรษะเล็กน้อย เอาหัวนมแตะที่แก้มลูกและควรให้ลูกอมหัวนมให้ลึกจนริมฝีปากและเหงือกมิดลานหัวนม(รอยสีน้ำตาลรอบหัวนม) เพราะไม่เช่นนั้นลูกอาจจะบดเคี้ยวหัวนมทำให้หัวนมเป็นแผลได้ง่าย
วิธีการให้นมลูก
1. ก่อนให้นมลูกทุกครั้ง ควรล้างมือและเช็ดหัวนมด้วยสำลีชุบน้ำสะอาด อย่าเช็ดหัวนมด้วยแอลกอฮอล์หรือยาฆ่าเชื้อใดๆ เพราะจะทำให้หัวนมแห้งและแตกได้
2. ขณะที่ลูกดูดนม ถ้าลูกหลับโดยที่ยังดูดนมไม่อิ่ม ให้คุณแม่ใช้นิ้วขยับหัวนม จะเป็นการกระตุ้นให้ลูกดูดนมต่อจนอิ่ม
3. เมื่อลูกดูดนมอิ่มแล้ว ควรสอดนิ้วเข้าไประหว่างมุมปากลูกกับหัวนมแม่ แล้วค่อยๆถอดหัวนมออกจากปากลูก เพื่อป้องกันไม่ให้เต้านมเป็นแผล จากนั้นอุ้มลูกพาดบ่าให้เรอลมออก แล้วให้ลูกดูดนมอีกข้างหนึ่ง หลังจากให้นมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดหัวนมให้สะอาด และใช้ผ้านุ่มซับให้แห้งสนิทเช่นเดียวกัน
-วิธีไล่ลม ให้คุณแม่จับลูกนั่งตักควรให้ลูกนั่งหลังตรง คางตั้งอยู่เสมอแล้วตบเบา ๆ ที่หลัง หรือเอามือลูบเบาๆที่หน้าท้องบริเวณกระเพาะ หรืออุ้มลูกพาดไหล่ ให้ คางลูกเกยบนไหล่คุณแม่พอดี เวลาลูกอยู่ท่านี้ลมจะลอยขึ้นมา คุณแม่เพียงตบเบาๆลูกก็จะทำให้ลูกสบายขึ้นหลังการเรอ หรืออุ้มพาดบ่า ปกติการไล่ลมจะทำหลังให้นมเสร็จ เด็กบางคนที่อึดอัดง่าย ต้องไล่ลมสลับกับการให้นมเป็นครั้งคราว
4. เมื่อลูกหิวนมครั้งต่อไป ให้เริ่มดูดจากเต้านมที่ดูดค้างไว้จากคราวที่แล้วก่อน เช่น คราวแรกเริ่มจากเต้านมข้างขวา ต่อด้วยข้างซ้าย คราวต่อมาให้เริ่มจากข้างซ้ายแล้วตามด้วยข้างขวา เพื่อให้ลูกดูดนมหมดเต้า ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เต้านมสร้างน้ำนมได้มากขึ้น
5. อีกวิธีที่จะทำให้คุณแม่มีน้ำนมมากพอกับความต้องการของลูกรัก คือก่อนให้ลูกดูดนมทุกครั้ง ให้ดื่มน้ำ 1 แก้วใหญ่ๆ แล้วจึงให้ลูกดูดนมและหลังจากลูกดูดนมอิ่มแล้ว ให้คุณแม่ดื่มน้ำอีก 1 แก้วใหญ่ๆ เพื่อทดแทนน้ำนมที่ลูกดูดไป ดังนั้น ในวันหนึ่งๆ ควรดื่มน้ำให้มากกว่าเดิมประมาณ 5-6 แก้วและดื่มนมเพิ่มอย่างน้อย 2-3 แก้ว
วิธีนวดเต้านม
1. นำผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น บิดให้แห้ง ประคบเต้านม วางนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือบริเวณหัวนม คลึงกลับไปกลับมาตามแนวยาวของนิ้วชี้ แล้วดึงหัวนมเบาๆออกจากตัว เพื่อให้หัวนมยื่นออกมาลูกจะได้ดูดนมได้ง่าย
2. ล้างมือและซอกเล็บให้สะอาด เทครีมโลชั่นลงบนมือ แล้วลูบให้ทั่วทั้งฝ่ามือและหลังมือจะได้นวดได้ง่าย และครีมนี้ยังช่วยให้เนื้อเยื่อบริเวณเต้านมยืดหยุ่นได้ดี ใช้นิ้วมือนวดเบาๆที่เต้านมตามทิศทางตามเข็มนาฬิกา ข้างละประมาณ 5 นาที
3. วางมือประกบเต้านม นวดจากโคนเต้านมเข้าสู่หัวนม แล้วลูบมือลงมาตามด้านข้างเต้านม (ดังรูป)โดยใช้แรงกดให้สม่ำเสมอ
4. วางมือดังรูป ให้หัวแม่มืออยู่ด้านบน และนิ้วอื่นๆอยู่บริเวณฐานของเต้านมแล้วลูบมือทั้งสองข้างออกจากหน้าอกไปตามแนวเต้านม โดยนิ้วมือไม่สัมผัสหัวนมและลานหัวนม ขณะที่นวดให้ ช้อนเต้านมขึ้นเล็กน้อย ควรทำข้างละ 10 ครั้งทุกๆวัน
การนวดเต้านมควรทำทุกวัน เพื่อเป็นการกระตุ้นน้ำนมสีเหลืองซึ่งเป็นน้ำนมที่ไหลออกมาก่อนที่น้ำนมปกติจะไหล และถือว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของทารก ควรรักษาเต้านมโดยเฉพาะหัวนมให้สะอาดอยู่ตลอดเวลาของการตั้งครรภ์ และหลังคลอด โดยล้างเต้านมให้สะอาดแล้วเช็ดให้แห้งด้วยผ้านุ่มสะอาด หลังการให้นมเสร็จแล้วก็ควรทำความสะอาดเต้านมและเช็ดให้แห้งเช่นกัน แล้วใช้ผ้าซับน้ำนมรองด้านในยกทรงอีกที เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำนมไหลซึมออกมา
นมผงคล้ายนมแม่
เราทราบดีแล้วว่า นม คืออาหารมื้อแรกของมนุษย์ น้ำนมแม่จึงเป็นอาหารดีที่สุด สำหรับทารก เพราะย่อยง่าย ดูดซึมง่ายและมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนเหมาะกับภาวะร่างกายของทารก แต่แม่บางคนมีปัญหาในการให้นมลูก จึงจำเป็นต้องใช้นมผสมหรือนมผงดัดแปลงสำหรับทารกแทน ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะนมผสมหรือนมผงนั้นมีมากมายหลายประเภท ถ้าใช้ผิดอาจเป็นอันตรายแก่ทารกได้
เริ่มแรกทารกอาจจะไม่เคยชินต่อกลิ่นหรือรสของนม และความแข็งกระด้างของจุกนม จึงมักปฏิเสธการดูดนมจากขวด ดังนั้นแม่ควรให้ทารกดูดน้ำจากขวดนมก่อน เพราะน้ำจะทำให้ทารกรู้สึกสดชื่น ต่อมาจึงให้ทารกดูดนมแม่สลับมื้อกับนมขวดจนกว่าทารกจะชิน จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องแพ้นมหรือท้องเสีย
เด็กที่ได้รับนมขวดจะมีโอกาสใกล้ชิด และได้รับความอบอุ่นพอๆกับการได้รับนมแม่ โดยขึ้นอยู่กับท่าทีและเจตนาของแม่ด้วย ลูกที่ได้รับนมขวดจะรู้สึกอบอุ่น ถ้าแม่อุ้มเขาอย่างทะนุถนอมด้วยความรัก ขณะที่ลูกทานนมก็จ้องมองหน้าเขา ยิ้มให้เขา เอามือลูบศีรษะและตัวเบาๆ เล่นและยิ้มทักทาย ลูกก็จะสัมผัสถึงความรักของแม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าแม่ส่งขวดนมให้ลูก แล้วปล่อยให้ลูกเกลือกกลิ้งไปมาโดยที่แม่ไม่ดูแล ลูกก็จะไปสนใจขวดนมและรักขวดนมมากกว่าแม่ เพราะขวดนมอร่อยและทำให้อิ่มท้อง ไม่หิว พอเห็นขวดนมก็จะดีใจกอดขวดนมแน่น เวลาดูดนมแทนที่จะมองหน้าแม่ กลับมองขวดนมและยิ้มเล่นกับขวดนมอย่างมีความสุข
เกร็ดความรู้ก่อนการให้นมผสมหรือนมผง
1. เลือกชนิดของนมให้เหมาะกับอายุของเด็ก และควรเลือกกระป๋องที่ไม่บุบ ไม่เก่าหรือเป็นสนิม ที่กระป๋องต้องมีเลขทะเบียนหรือเครื่องหมาย อย. ของกระทรวงสาธารณะสุขกำกับอยู่
2. ชงให้ถูกส่วน โดยดูตามคำแนะนำข้างกระป๋อง เพราะนมแต่ละชนิดจะมีส่วนผสมต่างกัน
3. ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ในการชง ด้วยการล้างให้สะอาดและต้มในน้ำเดือด 10 นาที อย่าทำเพียงการลวกด้วยน้ำร้อน เพราะอาจทำให้สะอาดไม่เพียงพอ
4. ควรเริ่มให้นมผสมแก่เด็กในระยะแรกด้วยกระป๋องเล็ก เพื่อให้หมดภายในเวลา 4-5 วัน ถ้าทิ้งไว้นานกว่านี้ นมอาจหมดอายุและทำให้ลูกท้องเสียได้ เมื่อลูกต้องการนมเพิ่มขึ้นในเดือนต่อๆไป จึงค่อยเพิ่มเป็นกระป๋องใหญ่ ที่สำคัญควรสังเกต วัน เดือน ปี ที่ผลิตใต้กระป๋องก่อนการซื้อทุกครั้ง
หลักการให้นมขวด
1. ผสมนมให้พอดีหรือมากกว่าที่ทารกจะกินในแต่ละมื้อ ดีกว่าผสมไม่พอแล้วต้องผสมใหม่ ส่วนนมที่ชงแล้วทิ้งไว้นานเกินชั่วโมง ไม่ควรนำมาใช้เลี้ยงเด็กอีก ควรจะชงใหม่เป็นการดีที่สุด
2. ทุกครั้งที่มีการให้นม ควรอุ้มลูกไว้ด้วยทุกครั้ง เพื่อให้ลูกได้รับความอบอุ่นเหมือนกับการดูดนมแม่และป้องกันลูกสำลักนมระหว่างดื่มด้วย ระหว่างป้อนนมควรจับขวดนมให้แน่นและเอียงให้พอเหมาะ เพื่อให้มีน้ำนมในจุกนมตลอดเวลา ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศเข้าท้องลูก ระหว่างให้นมควรจะหยุดพักสัก 1-2 ครั้ง เพื่อไล่ลมให้ลูกเป็นระยะท้องจะได้ไม่อืด
3. ความร้อนจัดจะทำให้เชื้อโรคตาย ความอุ่นทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี ความเย็นทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตช้า ดังนั้น การใช้เครื่องอุ่นนมจึงต้องระวังเป็นพิเศษ นมที่ทารกดูดแล้ว ไม่ควรใส่ไว้ในที่อุ่นนม เพราะจะทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตเร็ว และนมเสียเร็วขึ้น
4. น้ำนมที่มีอุณหภูมิพอเหมาะ หรือใกล้เคียงกับอุณหภูมิร่างกาย(อุ่นเล็กน้อย) จะเหมาะที่สุดสำหรับทารกเพราะอุณหภูมิจะใกล้เคียงกับน้ำนมแม่
5. ไม่ควรปิดจุกนมแน่นเกินไป เพราะจะทำให้อากาศไม่สามารถเข้าไปแทนที่น้ำนมในขวดได้ เวลาที่เด็กดูดน้ำนมจะไม่ค่อยไหล ทำให้เด็กหงุดหงิดอารมณ์เสียได้ง่าย
6. เมื่อทารกอิ่มแล้ว ควรล้างขวดนมและจุกนมเลย หรือแช่น้ำไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เศษนมจับเป็นคราบ
7. ควรป้อนน้ำแก่ทารกทุกครั้งที่อิ่มนมแล้ว เพื่อจะได้ล้างคราบนมที่ติดอยู่ในช่องปาก และป้องกันการเกิดเชื้อราในช่องปากและฟันผุในอนาคตได้
ชนิดของนม
1.นมสด คือนมวัวที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว พร้อมดื่มได้ทันที แบ่งออกเป็น
1.1 นมพาสเจอร์ไรส์ คือ นมที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน 72C แบคทีเรียในนมยังคงเหลืออยู่บ้าง จึงควรเก็บในตู้เย็น และมีอายุไม่เกิน 3-4 วัน
1.2 นมสเตอริไรส์ คือ นมที่ฆ่าเชื้อด้วยความร้อน 133C ขึ้นไปบรรจุในภาชนะที่ปิดสนิทอากาศผ่านเข้าออกไม่ได้ เชื้อแบคทีเรียถูกทำลายจนหมดสิ้น นมจึงมีอายุนานถึง 6 เดือนโดยไม่ต้องแช่เย็น
1.3 นมU.H.T คือนมสดที่ฆ่าเชื้อด้วยความร้อน 133C แล้วทำให้เย็นลงภายใน 16 วินาที เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียให้หมดสิ้น แล้วบรรจุในกล่องสี่เหลี่ยมซึ่งเรียกว่าระบบ U.H.T หรือ Ultra High Temperature และสามารถเก็บได้นานถึง 6 เดือนโดยไม่ต้องแช่เย็นเช่นเดียว
1.4 นมเปรี้ยว คือการนำนมสด นมพร่องมันเนย หรือขาดมันเนยมาหมักกับเชื้อ จุลินทรีย์สเตรปโตคอกคัส และแลคโตบาซิลลัส ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ทำให้น้ำตาลนมเปลี่ยนเป็นกรดน้ำตาลที่ย่อยง่ายและมีรสเปรี้ยว ซึ่งปัจจุบันมีการปรุงแต่งรสผลไม้ให้ชวนรับประทานยิ่งขึ้น
2.นมผง คือนมสดที่ระเหยน้ำออกเกือบหมด มีความชื้นไม่เกิน 5% แล้วทำเป็นผง เก็บได้นานเป็นปี แบ่งออกเป็น
2.1 นมผงดัดแปลงสำหรับทารก (Infant Formula) คือนมวัวที่ได้ดัดแปลงคุณภาพของนมให้มีสัดส่วนของโปรตีน ไขมันและน้ำตาลใกล้เคียงน้ำนมแม่ กล่าวคือมีโปรตีนนมระหว่าง 12-17% ซึ่งใช้เลี้ยงทารกแทนนมแม่ได้
2.2 นมผงดัดแปลงสูตรต่อเนื่องสำหรับทารกและเด็กเล็ก (Follow-On) คือผลิตภัณฑ์จากนมผงซึ่งได้มีการปรับสารอาหารให้มีคุณค่าเหมาะสมกับเด็กวัย 6 เดือนขึ้นไป โดยมีโปรตีนนมระหว่าง 17-23% ซึ่งทารกแรกเกิดไม่สามารถย่อยโปรตีนในปริมาณขนาดนี้ได้ ที่ข้างกระป๋องจึงมีคำเตือนว่า “ อย่าใช้เลี้ยงทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน ”
2.3 นมผงธรรมดาชนิดละลายทันที (Instant Full Cream Milk) คือผลิตภัณฑ์จากนมสด ซึ่งมีการควบคุมไขมันนมให้ไม่ต่ำกว่า 26% เมื่อผสมน้ำแล้วจะมีคุณสมบัติเหมือนนมวัวสด มีโปรตีนนมระหว่าง 23-27% ชงดื่มได้ตั้งแต่เด็กวัยเรียนถึงผู้ใหญ่
2.4 นมปรุงแต่ง (Flavor Powder Milk) คือการนำนมสด หรือนมผงมาปรุงแต่งกลิ่น วนิลา ช็อคโกแลต สตรอเบอรี่ หรือเติมน้ำตาลให้มีรสหวานชวนดื่ม เหมาะเป็นอาหารเสริมสำหรับเด็กเล็ก นักเรียน คนชรา หรือผู้ที่กำลังพักฟื้น เป็นต้น
2.5 นมผงขาดมันเนย (Non-Fat Milk Powder) คือนมที่มันเนยไม่เกิน 1.5%
2.6 นมผงพร่องมันเนย (Low-Fat Milk Powder) คือนมที่มีมันเนยไม่เกิน 5%
3. นมข้นหวาน ผลิตจากหางนมและน้ำมันพืชกับน้ำตาล ประมาณ 45% มีลักษณะข้น รสหวาน โปรตีนต่ำ ในระหว่างการผลิตมีการเติมวิตามินและมันเนยลงไปบ้าง แต่คุณค่าทางอาหารยังไม่เพียงพอกับความต้องการของเด็ก ที่ข้างกระป๋องจึงพิมพ์คำเตือนสีแดงว่า “อย่าใช้เลี้ยงทารก” มิฉะนั้นเด็กจะเป็นโรคขาดโปรตีนและอาจเป็นโรคขาดสารอาหารถึงแก่ชีวิตได้ นมข้นจึงเหมาะสำหรับผสมกับเครื่องดื่ม ทาขนมปัง หรือประกอบอาหารเท่านั้น
4. นมคืนรูปไม่หวาน หรือนมระเหย เป็นนมซึ่งระเหยน้ำออกไปครึ่งหนึ่ง แต่ยังมีลักษณะคล้ายนมวัวอยู่มาก กล่าวคือมีโปรตีน เมื่อเติมน้ำเท่าตัวจะมีลักษณะเหมือนนมวัวสด และอาจเติมน้ำตาลเล็กน้อยเพื่อให้หวานขึ้น โดยทั่วไปมักใช้ประกอบอาหาร ทำขนม และไอศกรีม
5. นมสูตรพิเศษ คือนมผงที่ผลิตโดยกระบวนการพิเศษ สำหรับเป็นอาหารทางการแพทย์ หรือสำหรับเด็กที่มีปัญหาทางระบบการย่อยผิดปกติ ซึ่งสามารถแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆคือ
5.1 นมสูตรพิเศษสำหรับผู้ใหญ่ ได้แก่ นมแคลเซียม นมสำหรับหญิงมีครรภ์ นมสำหรับผู้สูงอายุที่ขาดสารอาหาร
5.2 นมสูตรพิเศษสำหรับเด็ก ได้แก่
ก. นมสำหรับเด็กที่แพ้นมวัว หรือนมถั่วเหลือง คือนมที่ผลิตจากนมถั่วเหลืองแท้ ซึ่งไม่มีส่วนผสมของนมวัว
ข. นมสำหรับเด็กที่เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
ค. นมสำหรับเด็กท้องเสีย หรือนมที่มีแลคโตสต่ำสำหรับเด็กที่มีระบบการย่อยผิดปกติ หรือย่อยน้ำตาลนมของวัวไม่ได้ ซึ่งผลิตได้โดยการลดปริมาณน้ำตาลนมออกจนเหลือน้อยมาก แต่ยังคงคุณภาพและปริมาณสารอาหารรวมทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับทารกให้ได้รับคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกับนมแม่
ง. นมสำหรับเด็กที่เป็นภูมิแพ้ ประกอบด้วยโปรตีนเวย์ ที่ผ่านการย่อยโดยเอนไซม์ทำให้ได้โปรตีนที่มีโมเลกุลเล็กลง จึงเหมาะสำหรับเด็กทารกที่มีความเสี่ยงต่อการแพ้นมวัว หรือโปรตีนอื่นๆ
6. นมแปลงไขมัน คือนมวัวที่แยกไขมันนมออก แล้วใส่ไขมันพืชแทนเพื่อให้ย่อยง่ายและมีคุณภาพใกล้เคียงกับนมผงธรรมดา เพื่อนำมาผลิตเป็นนมผงสูตรทารก นมผงสูตรพิเศษ เป็นต้น
ปัจจุบัน เทคโนโลยีการผลิตมีความเจริญก้าวหน้ามาก บริษัทผลิตนมต่างๆได้คิดสูตรโดยการเติมสารอาหารที่ใกล้เคียงนมแม่มากที่สุด ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย เช่น Taurine, Neucleotide, Hipo-Allergenic, Beta-carotine, Prebio1Oligofluctose ดังนั้น การที่จะเลือกนมให้เหมาะกับลูก ควรสังเกตที่คำอธิบายข้างกระป๋องหรือควรปรึกษาแพทย์
วิธีชงนม
1. ต้มขวดนมและจุกนมในน้ำเดือดประมาณ 10 นาที
2. ใส่น้ำสุกอุ่นๆตามปริมาณที่ถูกต้องลงในขวดนม อย่าใช้น้ำร้อนจัดชง เพราะจะทำให้สูญเสียวิตามินบางส่วนไป และไขมันอาจจับตัวเป็นก้อนไม่ละลาย
3. ตวงนมผงตามมาตราส่วนข้างกระป๋องด้วยช้อนตวงที่บรรจุไว้ ปาดให้เรียบด้วยมีดสะอาด
4. ใส่นมผงให้พอกับความต้องการของเด็ก อย่าชงมากหรือน้อยจนเกินไป แล้วเขย่าขวดเล็กน้อยเพื่อให้นมผงละลายได้หมด เทคนิคการเขย่าให้เกิดฟองน้อยที่สุด คือการจับขวดแล้วหมุนมือเป็นวงกลมเหมือนเอาขวดนมแกว่งน้ำ ซึ่งจะเกิดฟองน้อยกว่าการเขย่าขึ้นลง
5. ก่อนให้นมลูก ลองหยดนมที่ชงลงบนหลังมือ เพื่อทดสอบว่านมอุ่นพอเหมาะ ไม่ร้อนจัดเกินไป
เปลี่ยนนมให้ลูกเมื่อถึงวัยอันควร
ปัญหาที่พบหลังการให้นม
1. แหวะนม อาการนี้จะเป็นในเด็กทุกคนเวลาเรอ อาจจะมากหรือน้อยถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าแหวะออกมามากเกินไป อาจจะมีสาเหตุมาจากการให้นมมากเกินไป หรือคุณแม่อุ้มลูกนอนราบเกินไปขณะป้อนนม เป็นต้น
2. สะอึก เป็นอาการปกติที่มักเกิดหลังจากการให้นมเสร็จแล้ว ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากมีลมในกระเพาะมากเกินไป อาจให้ลูกดูดน้ำสักเล็กน้อยหรืออุ้มพาดบ่าก็จะดีขึ้น
3. อาเจียน ถ้าลูกอาเจียนหลังกินนมตามปกติ นมที่ออกมาจะเป็นก้อนสีขาว แต่ถ้ามีกลิ่นเปรี้ยวๆอาจเกิดจากนมไปผสมกับน้ำย่อยที่อยู่ในกระเพาะอาหาร หรือเป็นเพราะลูกกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับระบบการย่อย หรืออาจเริ่มไม่สบายก็เป็นได้ ให้คอยดูอาการต่อไป
4. ท้องอืด แน่นท้อง อาจเกิดจากการที่ลูกดูดนมมากเกินไป หรือมีลมเข้ากระเพาะมากขณะดูดนม ควรใช้การไล่ลมช่วยทุกครั้ง
5. ท้องผูก เด็กบางคนไม่ถ่ายทุกวัน แต่ถ้าเด็กถ่าย 2-3 วันครั้งหรือไม่ยอมถ่ายหรือถ่ายเป็นก้อนแข็งๆ ควรให้ลูกดูดน้ำหรือน้ำผลไม้สะอาดเพิ่มขึ้น เช่น น้ำส้มคั้น ไม่ควรสวนทวารหรือให้ยาระบายแก่ลูกโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด
6. ท้องเสีย ถ้าลูกมีอาการท้องเสียเล็กน้อย ให้ผสมนมให้จางลงจนกว่าอาการท้องเสียจะทุเลา การผสมนมให้จางลงทำได้โดยการเพิ่มน้ำอีกเท่าตัว หรือลดนมผงลงครึ่งหนึ่งโดยใช้น้ำเท่าเดิม เช่น เคยผสมนม 2 ช้อนต่อน้ำ 2 ออนซ์ ก็เปลี่ยนเป็นนม 1 ช้อนต่อน้ำ 2 ออนซ์ แต่ถ้าลูกถ่ายอุจจาระเป็นมูกหรือเป็นน้ำบ่อยครั้ง ควรหยุดนมหรืออาหารชนิดที่มีกากมากๆ เช่น ผัก ผลไม้ ควรให้ลูกดูดน้ำอุ่นๆแทน และให้รีบปรึกษาแพทย ์ทันที
|